TOPIC : วันหยุดสุดสัปดาห์

TOPIC : วันหยุดสุดสัปดาห์
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลสอบ Final ก็เลยไม่ค่อยได้ตอบคำถามพี่ๆในแชท เท่าไรผมต้องขออภัยด้วยครับแต่วันนี้จะขอตอบและโพสในกลุ่มทีเดียวเสียเลย ส่วนแรกผมจะขอพูดถึงเรื่อง indicator และเส้นค่าเฉลี่ย พี่ๆที่อยู่ในกลุ่มกับผมมาก่อนตั้งแต่กลุ่มมีไม่กี่สิบคนก็อาจจะได้อ่านบางส่วนที่ผมเคยโพสไว้ให้ ส่วนที่สองผมจะพูดในเรื่องของการแบ่งกลุ่มหุ้นซึ่งยังมีพี่ๆหลายท่านยังสับสนและไม่เข้าใจ และส่วนสุดท้ายผมจะขอพูดในส่วนของเรื่องแง่คิดของการลงทุนครับ

ส่วนที่ 1 : INDICATOR และ MOVING AVERAGE
indicator นั้นแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะครับ โดยมี 
1.leading indicator ,2.lagging indicator, 3.sentiment indicator
1.1) leading indicator อาทิเช่น RSI, STOCHASTIC  
# leading indicator คือ ตัวชี้วัดนำในระหว่างดำเนินการพูดภาษาชาวบ้านก็ตัวนำราคาที่จะบ่งชี้แนวโน้มสัญญาณได้ไวแท่งราคา ดังนั้น leading indicator จึงมีความรวดเร็วและมีปฏิกริยาไวกว่าแท่งราคาครับ
2.1) lagging indicator อาทิเช่น MACD, เส้นค่าเฉลี่ย(MA)  
# lagging indicator คือ ตัวชี้วัดตาม ที่มีสูตรเป็นการหาค่าเฉลี่ย ดังนั้นจึงทำให้มาสัญาณแสดงช้ากว่าราคาตลาดครับแต่จะมีความแม่นยำหากเราใช้ในช่วง Time frame ที่กว้างๆเช่นระดับ weekly chart ครับ 
3.1) sentiment indicator อาทิเช่น VOLUME, ON BALANCE VOLUME 
# sentiment indicator คือ ตัวชี้วัดที่แสดงแนวโน้ม sentiment ของตลาดโดยจะบ่งชี้ลักษณะเป็นปริมาณการซื้อขาย และปริมาณการแกว่งตัวของราคาครับ
หากพี่ๆนักลงทุนจะเลือกใช้อินดิเครเตอร์ก็ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม อย่าไปใช้ซ้ำกันเช่นใช้ RSI และ STOCHASTIC แบบนี้จะไม่ได้ครับเพราะทั้งสองตัวนี้อยู่ในกลุ่ม leading indicator ทั้งคู่เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งก็ได้จะได้ไม่วุ่นวายและไม่สับสนครับ ดังนั้นหากท่านนักลงทุนจะใช้อินดิเครเตอร์จำนวนที่เหมาะสมที่สุดคือ 3 ตัว กลุ่มละ 1 ตัว ท่านก็เลือกเอาเองว่าเครื่องมืออินดิเครเตอร์ใดเหมาะสมครับ โดยส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญกับ แท่งราคา price pattern และ VOLUME มากกว่าอินดิเครเตอร์ ผมจะเลือกใช้อินดิเครเตอร์เพียง 1 ตัวที่ใช้บ่อยๆก็ RSI ครับ ส่วนกราฟ Weekly ผมมาใช้ MACD เพื่อประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความถนัดและกระบวนการวิเคราะห์ของแต่ละท่านครับ การมีอินดิเครเตอร์มากตัวเกินไปจะทำให้กระบวนการๆตัดสินใจของพี่ๆนักลงทุนช้าและอาจส่งผลให้ผิดพลาดได้ครับ indicator นั้นใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่านำไปเป็นตัวบอกซื้อหรือขายครับ ลองคิดๆหากหากพี่ๆจะสร้างบ้านหลังนึง และต้องการบ้านที่สวยและได้มาตรฐาน อย่างแรกเลยคือ พี่ต้องมีแบบบ้าน ต่อมาเมื่อมีแบบ พี่ๆก็จะพอมองรูปแบบออกมาจะออกมาเค้าโครงไหน หลังจากนั้นก็ทำการลงรายละเอียดและทำตามกระบวนการและแบบที่สร้างมา เช่นเดียวกับการจะซื้อหุ้นสักตัว พี่จะซื้อหุ้นได้อย่างไรหากไม่มีแบบและแบบมันก็คือ Pattern เมื่อเรามอง pattern ออกเราจะรู้ว่าตลาดกำลังทำอะไรกับหุ้นตัวนั้นๆ และต้องมองทั้งแง่ดีและร้าย วางแผนไว้หากเกิดการผิดพลาด สิ่งที่เราต้องทำต่อคือ การพิจารณาแท่งราคาและ vol. ว่าสอดคล้องกับแบบที่กลไกราคาตามจิตวิทยามันสร้างมาไหม หาก pattern กราฟมาแล้วแต่ แท่งราคาและ Vol. มันไม่สอดคล้องแบบนี้มีแนวโน้มว่าแบบอาจจะผิด เมื่อแบบผิดเราก็ต้องใช้แผนตั้งรับ ดังที่ผมกล่าวมาข้างต้นมองทั้งแง่ดีและร้าย เวลาจะซื้อหุ้นสักตัวให้วางแผนไว้ 2 แผน เพื่อแก้ไขกรณีที่ผิดพลาดจะได้ตั้งตัวได้และรู้ว่าเราจะจัดการกับปัญหาอย่างไร ต่อมา indicator ก็คือการลงรายละเอียด เมื่อแท่งราคาและ Vol. มาแล้วและสอดคล้องกับ pattern indicator ก็เช่นกันต้องสอดคล้องและเป็นไปตามแบบและ pattern ที่มันฟอร์มตัวมาครับ และเราก็ต้องรู้ว่า indicator แต่ละตัวนั้นเขาจัดอยู่ในกลุ่มใดและสร้างมาเพื่ออะไร ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ๆไปรู้สูตรที่สร้างและผลิตมันขึ้นมา แต่แค่อยากให้รู้ว่าเขาสร้างมาเพื่อใช้กับกระบวนการใดครับ ต่อมาเรื่อง moving average โดยปกติที่นิยมใช้กันจะมี 2 แบบนั่นคือ
1.)Simple Moving Average ( SMA ) เป็นการให้น้ำหนักการเฉลี่ยเท่าๆกัน
2.) Exponential Moving Average ( EMA ) เป็นการให้น้ำหนักราคาค่อนมาทางเวลาใกล้ปัจจุบันมากกว่าราคาในช่วงอดีตครับ
SMA เราจะใช้ในช่วงที่ตลาดเป็นภาวะ sideway เพราะราคาแกว่งตัวและ sma จะให้ความสำคัญของราคาในทุกๆวันเท่ากันครับ
EMA เราจะใช้ในช่วงตลาดเป็น trend ขาขึ้นและขาลงชัดเจนเพราะเราต้องการให้ความสำคัญกับราคาในปัจจุบันมากกว่าราคาเฉลี่ยในอดีต
โดยปกติผมจะใช้เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน กับ 200 วัน ที่จริงแล้วการใช้เส้นค่าเฉลี่ยไม่มีอะไรตายตัวครับมันขึ้นอยู่กับกระบวนการวิเคราะห์ของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ผมจะให้ความสำคัญกับเรื่อง pattern มากกว่าและการสอดคล้องของสัญญาณ reversal และ vol.
-MA 5 วัน ไว้เป็นตัว run profit ของราคาครับหากราคายังสามารถยืนเหนือเส้น 5 วันได้ก็ถือต่อไปครับ ผมจึงใช้เป็นตัว run profit ของราคาไม่หลุด 5 วัน ผมก็ถือต่อ แต่หากเกิดสัญญาณ reversal เหนือเส้น 5 วัน แบบนี้ผมจะเริ่มพิจารณาว่าราคาหาก reversal จะมีจุดพักตัวตรงไหนและต้องวางแผนไว้ก่อนเสอมผมไม่เคยเข้าไปซื้อหุ้นโดยไม่มีแผนครับ
-MA 10-15 วัน โดยปกติ เส้น 10-15 วันนี้จะใช้เป็นตัว stop loss หากราคาถอยลงมาหลุดเส้นได้ครับ แต่ผมไม่ค่อยใช้ เพราะผมจะใช้สัญญาณ reversal เป็นจังหวะขายทกำไรครับ ระบวนการเทรดของผมจึงไม่มีเส้นค่าเฉลี่ยมากมายให้รกรุงรัง
-MA 25-35 วันจะใช้เป็นตัวดูจังหวะของการถือหุ้นในระยะกลางครับ หากราคาถอยลงมาไม่หลุดเส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้ได้ก็ยังถือต่อได้ครับ ราคาหุ้นจะแกว่งตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 35 วันสักระยะเพื่อสร้างฐานขึ้นต่อครับ แต่หากกรณีหลุดลงไปได้ก็คือการบ่งบอก trend ขาลงในระยะกลางครับ
-MA 50-90 วัน จะเป็นช่วงที่หุ้นโดยแรงขายทุบลงมากรณีหลุดเส้น 100 วันลงไปได้ก็ถือว่าเป็นช่วงขาการลงระยะเดือน ซึ่งจะเกิดรูปแบบการปรับฐานครับ
-MA 200 วัน ตัวนี้ผมจะใช้เป็นตัวบ่งชี้ตลาดและ trend ของหุ้นบางตัวที่โดนทุบมาหนัก โดยส่วนใหญ่หุ้นที่ถูกแรงขายกดลงมาจะสามารถยืนเหนือเส้น 200 วันได้เพื่อขึ้นต่อ แต่หากกรณีหลุดเส้น 200 วันได้จะเป็นช่วงการปรับตัวลงระยะยาวครับ ดังนั้นผมจึงใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น คือ 5 วัน และ 200 วัน โดยผมใช้เหตุผลก็คือ 5 วันผมใช้ run profit ให้ราคา เส้น 200 วันผมใช้ในการดูจังหวะรีบาวด์และการทดสอบ trend ขาลงหรือขาขึ้นในระยะยาวครับ
# สรุปแล้วเส้นค่าเฉลี่ยเราจะใช้อะไรก้ได้ครับ ให้มันเหมาะสมกับตัวเราและให้สอดคล้องกับระบบและพฤติกรรมของตัวเราครับ ส่วน indicator ทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเราต้องรู้ว่าเขาสร้างมาเพื่ออะไรและไม่ควรใช้เรื่อยเปื่อย คุณจะใส่เส้นค่าเฉลี่ยเป็น 100 เส้น ใส่ indicator 100 อันให้มันเต็มจอมันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จครับหากคุณไม่รู้ว่าคุณทำไปเพื่ออะไร และยิ่งมีมากตัวเกินไปก็ทำให้ระบบเทรดของคุณช้าและขัดแย้งกันครับ

ส่วนที่ 2 : การแบ่งกลุ่มหุ้น
การแบ่งกลุ่มหุ้นนั้นผมจะมี 2 รูปแบบทั้งในแบบของการลงทุนระยะยาว และการเทรดเก็งกำไรครับ พี่บางท่านถามผมว่าแบ่งไว้ทำไม ? ก็ทำให้เราเข้าใจมันมากขึ้นครับ และเราจะได้รู้ว่าเรากำลังเอาเงินไปโยนใส่หุ้นอะไรพฤติกรรมแบบไหน นิสัยยังไง และมีพื้นฐานรองรับที่น่าสนใจแค่ไหนครับ
- การลงทุนระยะยาว ผมจะแบ่งหุ้นออกเป็น 6 ลักษณะ 
1.หุ้นโตช้า 2.หุ้นโตเร็ว 3.หุ้นฟื้นตัว 4.หุ้นวัฎจักร 5.หุ้นทรัพย์สินมาก 6.หุ้นแข็งแกร่ง 
-การเทรดกราฟเก็งกำไร ผมจะแบ่งหุ้นออกเป็น 6 ชุดเช่นกัน โดยมีหุ้นชุด A B C D F
ทั้ง 2 รูปแบบนี้ผมเคยเขียนและโพสบทความไปแล้วครับ แต่ผมจะไม่เอามาเขียนไหมขอนำมาสรุปเพื่อตอบคำถามครับ ก่อนที่ผมจะเทรดหุ้นสักตัวผมจะดูก่อนว่าหุ้นตัวนั้นๆจัดอยู่ในชุดอะไร เมื่อเรารู้ว่าอยู่ในชุดอะไรแล้วก็ง่ายครับ เราจะรู้ว่าเขามีนิสัยแบบไหน พื้นฐานเลวร้ายไหม เช่นผมจะเทรดหุ้นตัวหนึ่ง ผมรู้ว่าหุ้นตัวนี้จัดอยู่ในหุ้นชุด A นั่นคือหุ้นที่ต้องอาศัย fund flow ของตลาดและเม็ดเงินต่างชาติ ผมก็รู้ว่าผมต้องไปสังเกตอะไรบ้าง ทั้งค่าเงินบาท ทั้งต้องไปดูตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ทั้งต้องดูลักษณะการเปิดสัญญาใน future และต้องพิจารณาการไหลของเม็ดเงินทั้งในตลาดกลุ่มเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ครับ นั่นคือสิ่งที่การแบ่งชุดหุ้นบอกว่าเราต้องทำอะไรบ้าง มันทำให้ง่ายขึ้นครับผมถึงต้องแบ่งกลุ่มมันไว้ ส่วนการลงทุนระยะยาวก็เช่นเดียวกันเราจะลงทุนเอาเงินไปให้เขาได้อย่างไรหากเราไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นๆ มีลักษณะแบบใด โตช้า โตเร็ว หรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัว เมื่อเรานำทั้ง 2 รูปแบบนี้ทั้งการแบ่งกลุ่มแบบระยะยาว และการแบ่งกลุ่มสำหรับการเทรดเก็งกำไร เราจะมีข้อมูลที่มากขึ้นครับ โดยที่ไม่ต้องไปหาอ่านอะไรเลยเพราะ ทุกๆไตรมาสเราต้องมานั่งพิจารณาว่าหุ้นตัวนี้มีผลกำไรออกมาดีหรือแย่ และเหมาะสมที่จะขึ้นไปเป็นหุ้นชุด B ไหม หรือหุ้นตัวนี้ผลกำไรและพื้นฐานเปลี่ยนต้องลดระดับลงไปเป็นหุ้นชุด C D แทน การแบ่งกลุ่มทั้ง 2 รูปแบบนี้แหละครับทำให้การลงทุนและการเทรดของเรามันง่ายขึ้น เพราะเราจะมีข้อมูลทั้งในแง่ Value investor และ Technical analysis ทั้ง 2 แบบจะสอดคล้องกัน ปัญหาคือ คุณขยันที่จะทำมากแค่ไหน และนั่นคือ ข้อได้เปรียบของคนที่ตั้งมั่นและขยันฝึกฝนครับ

ส่วนที่ 3 : แง่คิดในการลงทุน
แง่คิดนั้นผมก็พูดและพยายามสร้างแรงบันดาลใจมาตลอดโดยผ่านตัวอักษรและโพสบทความ แง่คิดในวันนี้ผมจะไม่ขอพูดอะไรมาก เพียงแต่อยากขอให้ก่อนที่พี่ๆทุกท่านจะลงทุน หรือจะเทรดหุ้นสักตัว คิดสักนิดครับว่าเราทำไปเพื่ออะไร ? เพื่อแข่งคนอื่น เพื่อเลี้ยงตัวเอง เพื่อเลี้ยงครอบครัว เพื่อนำความรู้ที่มีและประสบการณ์ส่งต่อให้รู้ หรือทำเพื่ออะไร ? ย้ำคิดและหมั่นเตือนตัวเองเสมอ ตลาดหุ้นคือที่ๆเราเข้ามาสร้างฐานะให้ตัวเราเอง เราเข้ามาเพื่อเงิน และเมื่อมีเงินมันก็ต้องมีความโลภ ความโลภมันมีอยู่ในตัวเราทุกๆคน เมื่อเราตัดมันออกไปไม่ได้ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน พยายามใช้เหตุและผลมากกว่าวความโลภเพียงครั้งคราว ก่อนจะลงทุนวางแผนไว้เสมออย่าเชื่อใครมากกว่าตัวเราเอง เราผิดเพราะเราคิดแล้วมันผิด มันยังดีกว่า เราผิดโดยที่เราไม่ได้คิดอะไรเลย การผิดเพราะเราคิดถี่ถ้วนแล้วนั้น แสดงว่าเราพยายามพัฒนาตัวเองแต่แค่ผลมันออกมาผิด เราก็ไปแก้ไขจุดที่ผิด อุดรอยรั่วนั่นแล้วเริ่มใหม่ แต่หากผิดเพราะไม่ได้คิดเลยเอาแต่ฟังๆแล้วไม่คิด ให้ความสำคัญกับมืออาชีพมากกว่าตนเอง แบบนี้มันไม่น่าให้อภัยครับ "คิดแล้วผิด มันดีกว่า ไม่คิดแล้วผิดครับ" จงเตือนตัวเองเสมออย่าดูถูกความสามารและศักยภาพในตัวตนของเรา จะอายุเท่าไรมันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ คุณกล้าที่จะคิด คุณกล้าที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดหรือไม่ ทุกวันนี้ผมก็ผิดแต่ผิดน้อยลง ผมไม่ได้เทรดชนะ 100 % เพราะโลกนี้ไม่มีอะไร 100 % แม้แต่ทองคำมันสิ่งที่มีค่าที่ใครก็ต้องการมันยังไม่ 100 % คิดก่อนและวางแผนเสมอ มองทั้งแง่ดีและร้าย แล้วคุณจะได้ระบบเทรดที่ประสบความสำเร็จครับ ร่ำรวยๆ และประสบความสำเร็จทุกๆคนครับ
ด้วยรักและห่วงใย

เครดิต
Nikky
(ห้องคุยนักลงทุน)

1 ความคิดเห็น:

  1. เขียนสรุปได้ดีมากๆๆเลยค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ

    ตอบลบ