Dow Theory
เป็นทฤษฎีที่พูดถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น กับ แนวโน้มตลาด ซึ่งคิดค้นโดย Charles H, Dow ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของ The Wall Street Journal และผู้ร่วมก่อตั้ง Dow Jones and Company
ซึ่ง ทฤษฎีดาวนี้ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค
ซึ่งมีด้วยกัน 6 ประการ ได้แก่
1.แนวโน้มตลาด (Market Trend) แบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ
1.1 แนวโน้มหลัก เป็นการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะยาว กินเวลามากกว่า 1 ปีเป็นต้นไป
1.2 แนวโน้มรอง เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นจากแนวโน้มหลัก กินระยะเวลา 1 เดือน – 1 ปี
1.3 แนวโน้มย่อย เป็นการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละวันซึ่งไม่มีผลต่อแนวโน้มหลัก กินระยะเวลาน้อยกว่า 1 เดือน
2.แนวโน้มหลักมี 3 ระยะ
ตลาดกระทิง 3 ระยะ
2.1 ระยะสะสม (Accumulation Phase) : ระยะนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจว่าแนวโน้มราคาหลักทรัพย์กำลังเกิดขึ้น แต่จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเรื่มสะสมหุ้น อาจจะเป็น นักลงทุน VI หรือ นักลงทุนรายใหญ่
2.2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในขาขึ้น (Big Move phase) : เป็นระยะที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนั้น หรือ ลงทุนในตลาดฯ
2.3 ระยะอื่มตัว (Excess phase) : ระยะนี้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาในตลาดหุ้นจำนวนมาก ตลาดเริ่มอิ่มตัว และเป็นระยะที่ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว
ตลาดหมี 3 ระยะ
2.1 ระยะกระจายตัว ( Distribution phase) : ระยะนี้เป็นการจบรอบนักลงทุน VI และรายใหญ่เริ่มถอนตัวออกจากตลาดฯ และขายให้กับนักลงทุนรายย่อย (ที่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก)
2.2 ระยะปรับตัวครั้งใหญ่ในขาลง (Big Move Phase) : ระยะนี้เป็นการร่วงลงอย่างรวดเร็ว และกินระยะเวลาช่วงหนึ่ง (นักลงทุนรายย่อยจะขาดทุนอย่างมาก)
2.3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายใหญ่ เริ่มถอนตัวจากตลาดจากการขาดทุนอย่างหนัก และ จะเกิดใกล้ๆ กับจุดต่ำสุดของขาลง เมื่อเจอจุดต่ำสุดแล้วจะกลับไปเป็นระยะสะสมใหม่อีกครั้ง
3.ตลาดสะท้อนข้อมูลหลักทรัพย์ไว้หมดแล้ว : ราคาที่เกิดขึ้นในตลาดนั้นได้สะท้อนถึงข้อมูลสาธารณะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเอาไว้หมดแล้ว
4.ค่าเฉลี่ยของตลาดจะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน : ซึ่งก็คือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หรือ ตัวเลขต่างๆ ที่แสดงให้เห็นแนวโน้มการเติบโตในตลาด จะต้องไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้น
5.ปริมาณการซื้อขาย (Volume) จะต้องสนับสนุนแนวโน้มที่เกิดขึ้น : Dow Theory เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดจากปริมาณการซื้อขายจำนวนมากแสดงถึงความเห็นส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณสนับสนุนที่สำคัญของแนวโน้มที่เกิดขึ้น
6.แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งมีสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแนวโน้ม : ในแนวโน้มขาขึ้นราคาจะยังวิ่งขึ้นต่อและทำ New High จนกว่าจะมีปัจจัยหรือเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลมากพอจะมาเปลี่ยนให้เป็นแนวโน้มขาลง
ส่วนวธีสังเกตุระยะเวลาแนวโน้มของคุนกระทิงกับหมีก็คือ
Bull Market หรือ ตลาดกระทิง ซึ่งเป็นตลาดขาขึ้น
# ระยะที่ 1 ระยะสะสม (Accumulation) : จะเป็นช่วงที่ตลาดยังทรงๆ ในช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจกับตลาดหุ้น สังเกตได้จากตลาดจะเคลื่อนที่แบบไม่มีแนวโน้ม (Non-Trend) หรือ Sideway นั่นเอง
# ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ (Big Move) : ระยะนี้เริ่มเมื่อเกิดการทะลุแนวต้านของ Sideway ขึ้นมา แล้วการย่อตัวในครั้งนั้น ไม่ทำ New Low หรือ ไม่หลุดแนวรับ (ที่เคยเป็นแนวต้าน) จากนั้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
# ระยะที่ 3 ระยะอิ่มตัว (Excess) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด จนมีคำหล่าวในตลาด Wall Street ว่า “หากคนขับ Taxi พูดถึงเรื่องหุ้น” เมื่อไรแปลว่าจุดสูงสุดของตลาดนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
Bear Market หรือ ตลาดหมี ซึ่งเป็นตลาดขาลง
# ระยะที่ 1 ระยะแจกจ่าย (Distribution) : สังเกตได้จากตลาดไม่ทำ New High แต่กลับวิ่ง Sideway หรือ Non-Trend และอยู่บริเวณจุดสูงสุด
# ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวลงครั้งใหญ่ (Big Move) : สังเกตได้จากหากราคาปรับตัวหลุดแนวรับ แล้วทำจุดต่ำสุดใหม่ และ Rebound ไม่ผ่านแนวต้าน (ที่เป็นแนวรับเดิม) จากนั้นราคาจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ต่ำลงเรื่อยๆ
# ระยะที่ 3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : นักลงทุนที่ลงทุนไว้ขายขาดทุนออกมาเป็นจำนวนมาก และออกจากตลาดหุ้นไป สังเกตได้จากการเห็นจุดต่ำสุด หากเห็นจุดต่ำสุดจะถือว่าเป็นการจบแน้วโน้มขาลง และจะเข้าสู้ ระยะที่ 1ใหม่อีกรอบนั่นเอง

เครดิต
Nikky
(ห้องคุยนักลงทุน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น