การเทรดแบบประยุกต์
การเทรดแบบประยุกต์ก็คือ การนำสิ่งที่คุณรู้ทั้งหมดมาใช้ในการพิจารณา สิ่งเหล่านั้นมันต้องกลั่นออกมาจากการตกผลึกของ "ประสบการณ์" แน่นอนว่าผมก็ต้องมีการพัฒนาตัวเองเสมอระบบเทรดเราก็เช่นกันครับ มันจะพัฒนาตามความใฝ่รู้ ยิ่งคุณแสวงหาและรู้จักลองผิดลองถูกเมื่อไร คุณก็จะยิ่งได้ระบบที่ดีขึ้น
ผมลองมองย้อนกลับไป ผมเคยทั้งใช้ Bollinger Band , Moving Average ,Stochastics รวมไปถึงการตัดขึ้นตัดลงของการเกิด Golden cross หรือ Dead cross อันที่จริงแล้วผมก็ลองมาหมดและสูญเสียความม่นใจไปเยอะ ผมพยายามที่จะพัฒนาตัวเองเสมอ เพราะ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรจะต่อเงินได้ดีกว่าตัวมันเอง ! อาทิเช่น มือใหม่ส่วนใหญ่ชอบใช้ค่า Moving Average ในการพิจารณาจุดเข้าซื้อและขายโดยการตัดกันของเส้นแต่ลเส้น ตัดขึ้นก็ซื้อ (Golden Cross) ตัดลงก็ขาย (Dead Cross) มันง่ายไปไหมครับ ? ผมพยายามทำสถิติและ Back test เสมอ สิ่งที่ได้คือ 10 ครั้งชนะแค่ 3-4 แพ้ 7 นั่นแสดงถึงว่ามันใช้ได้ครับแต่มันก็ไม่ได้เสมอไป หากนักเทคนิคมีความเชื่อในสิ่งใดมากๆแน่นอนว่ามันย่อมส่งผลต่ออิทธิพลในสิ่งนั้น เช่น นักเทคนิคส่วนใหญ่เชื่อว่าเส้น 20 วัน แท่งราคาลงมาแล้วจะมีโอกาสรีบาวด์ แน่นอนครับหากคนส่วนใหญ่เชื่อแบบนั้นมันก็จะเด้งรีบาวด์ แต่ ! มันจะไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป
สิ่งที่ผมพยายามจะบอกให้คุณเข้าใจก็คือ สิ่งใดที่วัดผลมาจากอดีตหรือใช้ราคาในอดีตมาเกี่ยวข้องมันย่อมมีความผิดพลาด มันเป็นการมอง look back มองย้อนกลับไป แม้แต่แนวรับแนวต้านมันก็มีโอกาสผิดพลาดหมดครับ มันไม่มีอะไร 100 % และผมก็ไม่เคนเจอระบบที่ 100 % แต่สิ่งที่แน่นอนที่ผมมั่นใจคือ อย่างน้อยๆระบบมีการลงทุนด้วยการมี Money Management ที่ดี อย่างน้อยๆผมจะได้กำไรปีละ 10-15 % ผมไม่ต้องการว่าจะถูก 100 ครั้งเลยไหม ผมสนใจแค่ว่าใน 100 ครั้งที่เราเทรดนั้น เราตัดขาดทุนด้วยวินัยได้น้อยแค่ไหน และตัวที่กำไรเรารู้จัก Run profits มันไปได้มากเท่าไร ผมสนใจแค่นี้ครับ ในช่วงตลาดขาขึ้นหากใครยังติดลบคุณต้องพิจารณาว่าเราพลาดเพราะอะไร ตั้งแต่ต้นปีมาตลาด Bullish ถึงไม่มากแต่ก็ไม่เคยพักตัวแรงๆเลย แล้วทำไมคุณยังไม่ได้กำไร ปีนี้ผมทำผลงานได้ดี อันที่จริงได้กำไรปีละ 20-30 % ผมว่ามันก็หรูแล้วครับ แต่เนื่องด้วยหากเราเทรดในสิ่งที่มี catalyst มาเกี่ยวข้องและมีปัจจัยทางเทคนิคมาสนับสนุน คุณย่อมทำกำไรได้ยอดเยี่ยม
ในการเทรดที่ผ่านมาในชีวิตผมเคยขาดทุนมากสุดที่ 15 % อันที่จริงปกติหากขาดทุนมากกว่านี้ผมจะตัดไปแล้วแต่ปัญหาคือ ผมไม่มีวินัย หากตลาดมัน Bearish ไม่มากคุณอาจจะกลับมาได้และอาจจะได้กำไรด้วย แต่หากตอนนั้นตลาด Bearish มากๆลงหนักๆละครับ ? คุณรับมันได้ไหม การเทรดกับ การลงทุนระยะยาวมันต่างกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมต้องแยกพอร์ตในการลงทุนและเทรดให้อยุ่คนละพอร์ต นโยบายคือสิ่งแรกที่เราต้องรู้จักกำหนดไว้ว่าเราเปิดพอร์ตนี้เพื่ออะไร Money Management ของผมก็เช่นกันมันต้องมีครับ เราต้องรู้ว่าเรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ไม่ใช่จะซื้อหุ้นสักตัวเอาแต่มองว่าจะได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ ผมไม่ใส่ใจเลยว่าผมจะได้มันกี่ % คุณต้องปรับตัวเองใหม่มองโอกาสของการขาดทุนให้มากและหาวิธีลดมัน คุณขจัดความเสี่ยงไม่ได้และผมก็ทำไม่ได้ ผมทำได้เพียงแค่ลดมันให้น้อยลง นั่นแหละครับก็คือการ Money Management ที่ดี Money Management สำหรับผมคือ เอาทุกสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาด มาแก้ไขแล้วทำให้ตรงกันข้ามกับมัน เรียนรู้จากความล้มเหลว
ผมนำกราฟมาให้ดูกันทั้งหมดคือสิ่งที่ผม นำมาประยุกต์ใช้ทั้งเรื่อง Dow theory , การ Divergence , reversal pattern , Multi Timeframe , Fibonacci Projections , Elliott wave และการพิจารณา Volume ฯลฯ การเทรดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันครับ ทุกคนๆจะนำสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาทั้งจากตนเองและจากผู้อื่นเพื่อมาประยุกต์ใช้ ผมจะเน้นย้ำพี่ๆและคนรู้จักเสมอว่า "คุณไม่จำเป็นต้องเทรดแบบผมเลย หากคุณไม่เข้าใจระบบของผม สิ่งเหล่านี้มันกลั่นออกมาจากนิสัย ทัศนคติของผม" ดังนั้นทุกๆคนต้องรู้จักเรียนรู้ให้มากครับและนำความรู้ที่คุณมีนั้นมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ให้เป็นตัวคุณเองมากที่สุด หากคุณไม่เข้าใจตัวเองแล้วคุณจะไปเทรดหุ้นหรือเทรด Future ได้อย่างไร ?
ทุกๆรูปแบบของการลงทุน จะสั้นจะกลาง หรือระยะยาว มันไม่มีสิ่งใดผิดถูก ดีหรือห่วยหรอกครับ ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณนำสิ่งนั้นมาใช้ได้ดีแค่ไหน? คุณเข้าใจหลักการมันหรือยังและจริตคุณนั้นมันเหมาะสมเข้ากับลักษณะการลงทุนการเทรดแบบนั้นไหม ตรงนั้นแหละครับที่สำคัญ ผมเชื่อมั่นว่าทุกๆวิธีการมันดีหมดครับ แต่มันขึ้นอยู่กับคุณว่าทำได้ดีแค่ไหน....
เครดิต
Niik Agapol Chamnanpanich
(ห้องคุยนักลงทุน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น