คนส่วนใหญ่ คนส่วนน้อย

คนส่วนใหญ่ คนส่วนน้อย
ทุกๆอย่างในย่อมมีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม มีหยินก็มีหยาง มีดำก็มีขาว มีสำเร็จก็มีล้มเหลว ทุกๆสิ่งอย่างย่อมมีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการลงทุนย่อมมีผู้ที่เห็นโอกาสก่อน และย่อมมีผู้เห็นโอกาสทีหลัง ลักษณะเหมือนการต่อคิวซื้อของ นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นชอบเทรดในจังหวะที่หุ้นเกิดการ Break out ไปแล้วหรือไม่ก็จังหวะที่หุ้นกำลังขึ้น เป็นลักษณะของการเทรดแบบ Trend Follow ซึ่งเดี๋ยวนี้บางทีก็ใช้ไม่ได้ แต่หากเป็นเหมือนสักช่วง 10-20 ปีแล้ววิธีการนี้ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว ในช่วงที่ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นนักลงทุนในตลาดโดยส่วนใหญ่ชอบเข้าไปเทรดตามอารมณ์พยายามจะหา Catalyst ที่มากระตุ้นราคาหุ้น บางคนก็หนักหน่อยเห็นหุ้นขึ้นซื้อเลยมี catalyst อะไรไว้ค่อยหาทีหลัง แบบนี้ก็มีเยอะแยะทั้งๆที่ยิ่งคุณไปไล่ราคามากเท่าไรก็เหมือนคุณไปต่อแถวซื้อหุ้นได้ของแพงกว่าคนอื่นๆเขา ผมชอบจังหวะของการปรับตัวลงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมทยอยเก็บหุ้นที่ผมให้ความสนใจไปหลายตัว มันดีตรงที่ว่าเราไม่จำเป็นต้องไปไล่ซื้อหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแล้ว แต่เราแค่ตั้งราคาที่เราพอใจแล้วนั่งรอ ในช่วงที่คนส่วนใหญ่เอาแต่ขายกัน ก็ย่อมจะมีคนบางกลุ่มที่เริ่มสะสมของแน่นอนว่าการสะสมของมันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งราคาหุ้นไหนที่ปรับตัวลงมาแล้วเริ่มยืนได้ Vol. เริ่มหายแบบนี้ก็ยิ่งสวย และยิ่งลงมาแล้วไม่มีข่าวด้วยก็จะยิ่งดีครับเพราะมันจะทำให้ราคาเริ่มนิ่งได้ไวขึ้นไม่ผันผวน โดยส่วนใหญ่ผมชอบเทรดหุ้นที่ปรับตัวลงมาแล้วไม่มีอิทธิพลของข่าวมาเกี่ยวข้อง หากราคาหุ้นลงมาสักพักแล้วเด้วรีบาวด์ขึ้นไป หากคุณซื้อไม่ทันก็ไม่ต้องไปใส่ใจครับ ไม่ต้องรีบเดี๋ยวราคาก็จะลงมาให้คุณซื้ออีกรอบ ซึ่งเป็นลักษณะของ Dow theory ตลาดจะเคลื่อนไหวไปตามแรงปรารถนาของจิตวิทยาราคา ดังนั้นตลาดหุ้นจะผ่านไปกี่สิบปี ลักษณะกราฟก็จะยังคล้ายๆเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หากตลาดหุ้นยังเป็นสิ่งที่มีมนุษย์มาเกี่ยวข้องยังไงอารมณ์ของ Mr.market ก็จะเหมือนเดิมครับ
มีหลายทฤษฎีตามที่เราอาจจะได้เคยร่ำเรียนมาตามตำราของนักเทคนิคคอลที่ผมมีความเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เมื่อไรที่คุณเริ่มมีประสบการณ์คุณจะเข้าใจว่า ทฤษฎีหรือเครื่องมือบางอย่างก็ไม่ได้สำคัญเลย อันที่จริงผมก็ใช้เครื่องมือเหล่านั้นมานานพอสมควรกว่าจะรู้ตัวได้ แต่สุดท้ายแล้วผมก็มาเข้าใจว่ามันไม่มีความสำคัญอันใดเลย ในช่วงเวลาที่คุณเริ่มเทรดใหม่ๆ คุณจะมีความกังวลกลัวขาดทุนและมีความเชื่อผิดๆว่ามียิ่งมีเครื่องมือมากเท่าไรก็ยิ่งดีจะได้ช่วยในการพิจารณาและวิเคราะห์ แท้จริงแล้วผมกลับคิดในอีกแง่นึงนั่นคือมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี หรือบางทีมีแค่กราฟราคากับ Vol. ก็พอแล้ว คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องมือนั้นๆสร้างมาเพื่ออะไร ใช้กันสะเปะสะปะกันไปหมด รู้เพียงเส้นนั้นตัดขึ้นเส้นนั้นตัดลงถ้ามันง่ายขนาดนั้นคนส่วนใหญ่ก็คงรวยไปหมดแล้วครับ ผมเห็นคนมาหลายประเภทน่าแปลกที่เริ่มต้นเข้ามาในตลาดพวกเขาเหล่านั้นมักจะทำกำไรได้ดีใช้ได้ แต่พอนานๆไปความแน่นอนของการทำกำไรก็ยิ่งลดลง ตลาดหุ้นคนที่เรียกว่าสำเร็จได้ต้องเป็นคนที่รู้จักการรักษาเงินต้นและสามารถทำผลกำไรในระยะยาวได้สม่ำเสมอครับ สิ่งที่ผมมีความเห็นว่าใช้งานได้ดีก็คือ เส้นค่าเฉลี่ย 5 วันกับ 200 วัน ส่วน RSI ผมไม่ได้ใช้ในการมีดูว่า Over bought หรือ Over sold ผมแค่เอามาจับ Momentum ของราคาเพื่อสังเกตการขัดแย้ง ซึ่งหากเมื่อไรที่ราคาเกิดการขัดแย้งกับ indicator และราคาลงมาบริเวณแนวรับ ในจังหวะนั้นจะเกิดการรีบาวด์แต่หากราคาหุ้นยังเหลือ Downside risk อยู่ ก็อาจจะมีโอกาสย่อลงมาอีกรอบครับ โดยปกติเมื่อผมทำตามลำดับขั้นตอนข้างต้นมาแล้วเมื่อหุ้นรีบาวด์ขึ้นครั้งแรกผมจะขายก่อนเสมอ และจะรอซื้ออีกทีตอนราคาปรับตัวลงมาแล้วยก low ได้ หรือลงมาแล้ว Vol. เริ่มบางๆลงแบบนี้ยิ่งสวยครับ
สิ่งที่สำคัญก็เหมือนที่ผมเคยกล่าวเน้นย้ำเสมอนั้นคือ ปรัชญาการลงทุน และแนวทางการลงทุน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากลงทุนให้ถูกจริต เมื่อสับสนว่าตลาดจะทำอะไรให้รอ คุณไม่ต้องไปกลัวซื้อไม่ทันหรอกครับ ในตลาดหุ้นมีหุ้นมากมายมีหุ้นหลายลักษณะหากคุณซื้อบางตัวไม่ทัน คุณก็ซื้อตัวอื่นแทนครับ อย่าพยายามไปเจาะจงหรือใช้ความรู้สึกกับหุ้นบางตัวมากเกินไป เพราะมันจะทำให้คุณเกิดความลำเอียงในการเทรด และสุดท้ายก็ส่งผลให้คุณยึดติดแต่หุ้นตัวเดิมๆ โดยปกติผมก็จะมีหุ้นสำรองใน watch list เสมอหากผมซื้อหุ้นตัวไหนไม่ทันผมก็ไม่ใส่ใจ การเทรดที่ดีคือการเทรดแบบลดความเสี่ยงให้มากที่สุด เข้าใจตลาด และมีวินัยในตนเองครับ...

เครดิต
Niik Agapol Chamnanpanich‎
(ห้องคุยนักลงทุน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น