Divergence คืออะไร ?











Divergence คืออะไร ?
Divergence คือ ศัพท์การเรียกความไม่สอดคล้องของราคาหุ้น เทียบกับตัว indicators โดยปกติจะมีเครื่องมือที่ใช้จับสัญญาณการ Divergence เช่น RSI , MACD ,STOCHASTIC โดยเครื่องมีดังกล่าวนี้จะเป็นเครื่องมือที่จับ Momentum ของราคาครับ การเกิด Divergence นั้นจะต้องเป็นการนำกราฟราคามาเปรียบเทียบกับตัว Indicators การเกิด Divergence ไม่ได้บ่งชี้ว่าจะเกิดการกลับตัว 100 % ครับ แต่เป็นเพียงการบอก Momentum หรือ พลังของราคาว่าอยู่ในทิศทางใด อาทิเช่น กราฟราคาทำ high ใหม่ แต่ MACD กลับไม่ทำ high ใหม่ตามแบบนี้จะบ่งชี้ว่ากราฟราคาที่ขึ้นไปทำ High ใหม่นั้นมีพลังน้อยและมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดการโดนทุบออกมา พูดง่ายๆ “คนทำเงินหมด” การจะจบการ Divergenc ได้นั้นในกราฟของ Indicators นั้นเส้น signal ใน indicators ต้องขึ้นไปเหนือ high ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ Divergenc ครับเพื่อเป็นการจบ Divergenc ตามภาษาเทคนนิคคอล เรียกว่า “Clear Divergence” หาก Clear ได้จะถือว่าไม่มีการ Divergenc ครับ
# รูปที่1 ลักษณะของการ Clear Divergence
Divergence จะมี 2 แบบ คือ
1.) สัญญาณ Divergence ปกติ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบนั่นคือ
1.1) Bullish Divergence จะเป็นลักษณะการเกิด Divergence ในช่วงราคาปรับตัวลดลงมาสักพักครับ ซึ่งประกอบด้วย Trend 3 แบบ นั่นคือ
1.1.1)Strong Bullish Divergence
จะเป็นลักษณะการ Divergenc ที่บอกความแข็งแรงและมีโอกาสที่จะเกิดการ Divergence กลับตัวขึ้นไปได้สูงครับ ยิ่ง Trend แข็งแรงเท่าใดยิ่งมีโอกาสเกิด Divergenc หรือการกลับตัวขึ้นสูงครับ # รูปที่ 2 คือรูปแบบ Strong Bullish Divergenc
1.1.2)Medium Bullish Divergence
จะเป็นลักษณะการ Divergenc ที่อยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งมีสัญญาณอ่อนกว่า Strong Bullish Divergenc ครับ ซึ่งก็เช่นเดียวกันหากเกิดการ Clear Divergenc ได้ก็จะถือว่าเป็นสัญญาณจบการ Divergence ครับ ในกรณีขาขึ้นการ Clear Divergenc นั้น Indicators ต้องทำ Low ใหม่ซึ่งหากเกิดแบบนี้จะถือว่า False Divergenc ครับ # รูปที่ 3 คือรูปแบบ Medium Bullish Divergenc
1.1.3)Weak Bullish Divergence
จะเป็นลักษณะการ Divergence ขาขึ้นที่อ่อนแรงที่สุดครับ และมีโอกาสกลับตัวน้อยกว่าตัวอื่นๆ # รูปที่ 4 คือรูปแบบ Weak Bullish Divergence
### ทุกครั้งที่เกิด Bullish Divergence จะต้องมีการ Break แนวต้าน(Resistant) เพื่อยืนยันสัญญาณครับ และต้องมี Vol.buy เพิ่มขึ้นเสมอ กรณีที่อาจจะ Break แนวต้านไม่ได้ส่วนใหญ่จะเกิดในลักษณะ Weak Bullish Divergenc ครับหาก Break แนวต้าน(Resistant) ไม่ได้ก็อาจจะเกิดการลงอีกรอบครับ
1.2)Bearish Divergence จะเป็นลักษณะการเกิด Divergence ในช่วงราคาปรับตัวสูงขึ้นมาสักพักครับ ซึ่งประกอบด้วย Trend 3 แบบ เช่นกันนั่นคือ
1.2.1)Strong Bearish Divergence
จะเป็นลักษณะการ Divergenceที่บอกความแข็งแรงและมีโอกาสที่จะเกิดการ Divergence สูงครับ ยิ่ง Trend แข็งแรงเท่าใดยิ่งมีโอกาสเกิด Divergence หรือการกลับตัวสูงครับ แต่หากหุ้นตัวใดที่มีพื้นฐานกิจการที่ดีอาจจะมีการเกิด Strong Brearish Divergence หลายครั้งครับเพราะหุ้นที่มีพื้นฐานดีจะมีคนเข้ามา Support ตอนราคาลงเสมอดังนั้นหากไม่สามารถ Clear Divergence ได้ก็จะกลับมาเกิดรูปแบบ Strong Bearish Divergence อีกครั้งครับเพื่อบอกการกลับตัว แต่หากกรณีสามารถ Clear Divergenceได้จะถือว่าจบการเกิด Divergence ครับ # รูปที่ 5 คือรูปแบบ Strong Bearish Divergence
1.2.2)Medium Bearlish Divergenc
จะเป็นลักษณะการ Divergenc ที่อยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งมีสัญญาณอ่อนกว่า Strong Bearlish Divergenc ครับ จะจบการเกิด Medium Bullish Divergenc ได้นั้นก็ต้องมีการ Clear Divergenc ให้ได้ก่อนเสมอครับ # รูปที่ 6 คือรูปแบบ Medium Bearlish Divergenc
1.2.3)Weak Bearlish Divergenc
จะเป็นลักษณะการ Divergenc ที่อ่อนแรงที่สุดครับ และมีโอกาสกลับตัวน้อยหรือบางทีก็อาจจะเกิดการ Clear Divergenc ได้ง่ายๆครับ ซึ่งบางครั้งท่านนักลงทุนหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ในบางทีกราฟมันเกิดการ Divergenc แต่ทำไมไม่ลงสักที แท้จริงแล้วถูกต้องครับเกิด Divergenc แต่เป็นการ Divergenc ที่อ่อนแรงจึงทำให้อาจจะเจอการ Clear Divergenc ก่อนครับ # รูปที่ 7 คือรูปแบบ Weak Bearlish Divergenc
2.) สัญญาณ Divergence หลบซ่อน (Hidden Divergence) ซึ่งมี 2 รูปแบบ
Hidden Divergence คือ สัญญาณการขัดแย้งที่จะเกิดในช่วงที่ราคากำลังอยู่ในช่วงพักตัวหรือปรับฐาน ซึ่งจะอยู่ใน Trend ขึ้น(Bullish)หรือลง(Bearish)ก็ได้ครับ ซึ่งจะบ่งบอกให้ท่านนักลงทุนรู้ว่าราคาซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงพักตัวใกล้จะจบแล้วและกำลังจะไปต่อใน Trend เดิมที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าครับ เช่นหากก่อนหน้านี้กราฟเป็นรูปแบบการขึ้น(Bullish)และเกิดการพักตัว ต่อมาเกิดรูปแบบ Hidden Bullish Divergence ก็จะบ่งชี้ว่าจะเป็นการกลับไปขึ้นต่อ และอีกกรณีหากก่อนหน้านี้กราฟเป็นรูปแบบการลง(Bearish)และเกิดการพักตัว ต่อมาเกิดรูปแบบ Hidden Bearish Divergence ก็จะบ่งชี้ว่าจะเป็นการกลับไปลงต่อครับ
2.1)Hidden Bullish Divergence
ลักษณะกราฟราคาจะยก Low ขึ้น แต่ตัว Indicators กลับทำ Low เพิ่มแบบนี้จะเข้ารูปแบบ Hidden Bullish Divergence # ดังรูปที่ 8
2.2)Hidden Bearish Divergence
ลักษณะกราฟราคาจะไม่ทำ High ใหม่เพิ่ม แต่ตัว Indicators กลับทำ New High แบบนี้จะเข้ารูปแบบ Hidden Bearish Divergence # ดังรูปที่ 9
# Divergence เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยและทุกรูปแบบก็มักปรากฎให้ท่านนักลงทุนได้พบปะทักทายเสมอๆ แต่การ Divergence จะไม่ได้ยืนยันการกลับตัวเสมอไป ผมอยากให้ท่านนักลงทุนมองการ Divergence เป็นการดู Momentum หรือ พลังของตลาดมากกว่าที่จะดูว่ากลับตัวแล้วต้องซื้อทันที หลายๆคนก็พลาดบ่อยๆก็เพราะ Divergence นี่แหละครับ ดังนั้นการ Divergence ก็ต้องควบคู่กัยการวิเคราะห์และใช้ทฤษฎีอื่นมาเพิ่มเติมให้น้ำหนักเสมอครับ หวังว่าคงได้รับประโยชน์นะครับ

เครดิต
Nikky
(ห้องคุยนักลงทุน)

3 ความคิดเห็น:

  1. I really loved reading your blog. It was very well authored and easy to understand. Unlike additional blogs I have read which are really not good. Bullish Divergence คือ

    ตอบลบ
  2. This website was... how do you say it? Relevant!! Finally I've found something which helped me. Kudos!
    bàn gỗ

    ตอบลบ
  3. Good post. I learn something totally new and challenging on websites I stumbleupon every day. It's always interesting to read content from other writers and use something from their web sites.
    nội thất gỗ

    ตอบลบ